เช็กเลย มหาลัยที่รับ GED ต้องใช้คะแนนขั้นต่ำเท่าไหร่

การสอบ GED เป็นการสอบเทียบวุฒิที่น้อง ๆ หลายคนน่าจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว ซึ่งนอกจากจะสามารถใช้ผลสอบ GED ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยในไทยได้แล้ว ยังสามารถใช้ยื่นเข้าสมัครเรียนต่อในต่างประเทศได้อีกด้วย ดังนั้น นอกจากในบทความนี้ Stamford International University จะพาน้อง ๆ มาทำความรู้จักรายละเอียดเกี่ยวกับการสอบ GED แล้ว ยังจะไขข้อสงสัยด้วยว่า แสตมฟอร์ดเป็นมหาลัยที่รับ GED ไหม? ใครไม่อยากพลาดโอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำต้องห้ามพลาด

การสอบ GED คืออะไร?

GED หรือ General Educational Development เป็นการทดสอบความรู้เทียบเท่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย การสอบ GED ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับมัธยมปลายตามระบบปกติ แต่ต้องการวุฒิการศึกษาเทียบเท่าเพื่อศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาหรือเพื่อการทำงาน

ข้อดีของการสอบ GED มีอะไรบ้าง?

สำหรับน้อง ๆ ที่ยังลังเลในการสอบ GED สามารถเช็กข้อดีของการสอบ GED ได้ ดังนี้

ประหยัดเวลาในการศึกษา

การสอบ GED ช่วยให้ผู้ที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับมัธยมปลายสามารถได้รับวุฒิการศึกษาเทียบเท่าโดยไม่ต้องใช้เวลาหลายปีในการเรียนตามระบบปกติ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดด้านเวลาหรือต้องการเร่งรัดการศึกษาของตนเอง การสอบ GED ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน แต่สามารถให้ผลลัพธ์เทียบเท่ากับการเรียนในระบบปกติที่ใช้เวลาหลายปี ทำให้ผู้สอบสามารถประหยัดเวลาและมีโอกาสในการศึกษาต่อหรือเริ่มต้นอาชีพได้เร็วขึ้น

เปิดโอกาสในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา

การสอบผ่าน GED เปิดโอกาสให้ผู้สอบสามารถสมัครเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาได้ หลายมหาวิทยาลัยในประเทศไทยยอมรับผลการสอบ GED ในการรับเข้าศึกษาต่อ ทำให้ผู้ที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับมัธยมปลายตามระบบปกติมีโอกาสในการพัฒนาตนเองและศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสทางอาชีพที่ดีขึ้นในอนาคต

เพิ่มโอกาสในการทำงาน

วุฒิ GED เป็นที่ยอมรับในหลายองค์กรและบริษัท ทำให้ผู้ที่สอบผ่านมีโอกาสในการสมัครงานที่ต้องการวุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลายได้ นอกจากนี้ การสอบผ่าน GED ยังแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาตนเองและความสามารถในการเรียนรู้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นายจ้างมักให้ความสำคัญ ดังนั้น การมีวุฒิ GED จึงสามารถเพิ่มโอกาสในการได้งานทำและการเลื่อนตำแหน่งในอนาคต

ทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับน้อง ๆ ที่ไปแลกเปลี่ยน ไม่ต้องกลับมาซ้ำชั้น

สำหรับน้อง ๆ ที่ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศ การสอบ GED จะทำให้น้อง ๆ ได้รับวุฒิเทียบเท่ากับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียนซ้ำชั้น และสามารถนำคะแนนนี้ไปใช้ในการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยได้ทันที

GED สอบวิชาอะไรบ้าง?

การสอบ GED สามารถแบ่งได้ทั้งหมด 4 วิชา โดยการสอบทั้งหมดจะเป็นภาษาอังกฤษ และเน้นความรู้พื้นฐาน การเชื่อมโยง ตรรกะ รวมถึงการคิดวิเคราะห์ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. GED Reasoning Through Language Arts (RLA)

เป็นข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษที่รวมทั้ง Reading และ Writing ไว้ด้วยกัน โดยจะใช้เวลาสอบประมาณ 150 นาที ซึ่งข้อสอบจะมีทั้งแบบ Multiple Choices, Drag and Drop, Select and Area และ Drop Down เพื่อใช้ในการวัดทักษะด้านการอ่าน Grammar พื้นฐาน และการเขียนเรียงความ แบ่งออกเป็น 2 พาร์ท ได้แก่ 

  • Part 1 – Reading and Basic Grammar
  • Part 2 – เขียนเรียงความภาษาอังกฤษแบบ Argumentative

2. GED Social Studies

เป็นข้อสอบวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์ ใช้เวลาในการสอบประมาณ 70 นาที โดยจะเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในด้านสังคม รวมถึงประวัติศาสตร์ ซึ่งข้อสอบจะมีทั้งแบบ Multiple Choices, Drag and Drop, Fill in the Black และ Short Answert สำหรับเนื้อหาที่ออกสอบสามารถแบ่งได้ 4 หัวข้อ ดังนี้

  • ประวัติศาสตร์อเมริกา (U.S. History)
  • การเมืองการปกครอง (Civic and Government)
  • เศรษฐศาสตร์ (Economics)
  • ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์โลก (Geography and the World)

3. GED Mathematical Reasoning

เป็นข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ ใช้เวลาในการสอบประมาณ 115 นาที เน้นการเลือกใช้สูตรและการคิดเลข รวมถึงการแก้ปัญหาทางพีชคณิต โดยเนื้อหาที่ออกสอบสามารถแบ่งได้ 4 หัวข้อ ดังนี้

  • คณิตศาสตร์พื้นฐาน (Basic Math )
  • เรขาคณิต (Geometry)
  • พีชคณิตพื้นฐาน (Basic Algebra)
  • กราฟและฟังก์ชัน (Graphs and function)

และสามารถแบ่งได้ทั้งหมด 2 พาร์ท ได้แก่

  • Part 1 –  ไม่สามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ แบ่งข้อสอบเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การแก้ปัญหาเชิงปริมาณ และการแก้ปัญหาเกี่ยวกับพีชคณิต 
  • Part 2 – อนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลขได้

4. GED Science

เป็นข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์ ใช้เวลาในการสอบประมาณ 90 นาที โดยเนื้อหาที่ออกสอบจะเกี่ยวข้องกับ Life Science, Physical Science และ Earth and Space Science ซึ่งข้อสอบจะมีทั้งแบบ Multiple Choices, Drag and Drop, Fill in the Black และ Short Answer สามารถแบ่งได้ 3 หัวข้อหลัก ๆ ดังนี้

  • การอ่านบทอ่านภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ (Reading for meaning in Science)
  • การออกแบบและทดลองทางวิทยาศาสตร์ (Designing and interpreting science experiments)
  • การอ่านตัวเลขและกราฟที่เกี่ยวข้องกับวิชาวิทยาศาสตร์ (Using numbers and graphics in science)

ต้องได้คะแนนสอบ GED เท่าไหร่ถึงจะผ่าน?

ในการสอบทั้ง 4 วิชานี้ น้อง ๆ จะต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 145 คะแนน จากคะแนนเต็ม 200 คะแนนในแต่ละวิชา จึงจะถือว่าสอบ GED ผ่าน ซึ่งเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ใช้ในการยื่นเข้ามหาวิทยาลัยจะเริ่มต้นตั้งแต่ 145-165 คะแนนขึ้นไป โดยเกณฑ์คะแนนของ GED จะแบ่งได้ทั้งหมด 3 ระดับ ได้แก่

  • Passing Score : 145/200 คะแนน 
  • College Ready : 165/200 คะแนน
  • College Ready+ Credit : 175/200 คะแนน

การสอบ GED เหมาะกับใครบ้าง?

การสอบ GED หรือการสอบเทียบวุฒิ ม.6 สามารถสอบได้เมื่อมีอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยเหมาะกับน้อง ๆ เหล่านี้

  • นักเรียนที่ไม่ได้เรียนตามระบบการศึกษาปกติ
  • นักเรียนที่เรียนในระบบ Home School
  • ผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ
  • นักเรียนที่ต้องการจบ ม.6 ให้เร็วขึ้น 
  • นักเรียนที่ไปโครงการแลกเปลี่ยนต่างประเทศ

มหาลัยที่รับ GED มีที่ไหนน่าสนใจบ้าง

Stamford International University เป็นหนึ่งในมหาลัยที่รับ GED ซึ่งน้อง ๆ สามารถใช้คะแนน GED ขั้นต่ำ 145 คะแนนต่อวิชา ในการสอบเข้าได้ทุกคณะ ทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็น หลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต, หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต, หลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต และหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต โดยจะต้องเตรียมเอกสารในการสมัครดังนี้

  • คะแนนสอบ GED ขั้นต่ำ 145 คะแนน
  • ใบสมัครเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยและค่าธรรมเนียมการสมัคร
  • สำเนาใบแสดงผลการเรียนและระบุวันจบการศึกษา (ปพ.1) ฉบับสมบูรณ์ จำนวน 2 ฉบับ
  • สำเนาใบประกาศนียบัตรสำเร็จการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ปพ.2) จำนวน 2 ฉบับ
  • สำเนาบัตรประชาชน จำนวน 1 ฉบับ
  • สำเนาทะเบียนบ้าน จำนวน 1 ฉบับ
  • รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำนวน 2 รูป

5 วิธีเตรียมตัวสอบ GED ให้ได้คะแนนตามเป้า

การสอบ GED เป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการวุฒิการศึกษาเทียบเท่ามัธยมปลาย แต่การจะสอบให้ผ่านและได้คะแนนตามเป้าหมายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการเตรียมตัวที่ดีและมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม ในบทความนี้ เราจะแนะนำ 5 วิธีเตรียมตัวสอบ GED ที่จะช่วยให้คุณมีโอกาสทำคะแนนได้ตามที่ตั้งใจไว้ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่เพิ่งเริ่มเตรียมตัวหรือกำลังมองหาวิธีปรับปรุงการเรียนของตัวเอง วิธีการเหล่านี้จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับการสอบ GED ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้าง

1. วางแผนการเรียนอย่างเป็นระบบ

การวางแผนการเรียนที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการสอบ GED เริ่มจากการประเมินความรู้พื้นฐานของตนเองในแต่ละวิชา จากนั้นกำหนดเป้าหมายคะแนนที่ต้องการและวางแผนการเรียนให้ครอบคลุมทุกเนื้อหา ควรแบ่งเวลาให้เหมาะสมสำหรับแต่ละวิชา โดยให้เวลามากกับวิชาที่เป็นจุดอ่อน สร้างตารางเรียนที่ชัดเจนและพยายามทำตามอย่างสม่ำเสมอ การมีแผนการเรียนที่เป็นระบบจะช่วยให้การเตรียมตัวมีประสิทธิภาพและลดความเครียดในช่วงใกล้สอบ

2. ใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย

การใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลายจะช่วยเพิ่มความเข้าใจและทำให้การเรียนน่าสนใจมากขึ้น นอกจากหนังสือเรียนและแบบฝึกหัด ควรใช้สื่อออนไลน์เช่น วิดีโอสอน แอปพลิเคชันการเรียนรู้ หรือเว็บไซต์ติวสอบ GED โดยเฉพาะ สื่อเหล่านี้มักมีเนื้อหาที่อัปเดตและวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ ช่วยให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การดูวิดีโอสรุปเนื้อหาหรือเทคนิคการทำข้อสอบยังช่วยเสริมความเข้าใจและเพิ่มความมั่นใจในการสอบ

3. ฝึกทำข้อสอบเสมือนจริง

การฝึกทำข้อสอบเสมือนจริงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากในการเตรียมตัวสอบ GED ควรหาข้อสอบเก่าหรือข้อสอบจำลองที่มีรูปแบบและระดับความยากใกล้เคียงกับข้อสอบจริง ฝึกทำข้อสอบภายใต้เงื่อนไขเวลาเหมือนการสอบจริง เพื่อฝึกการบริหารเวลาและสร้างความคุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบ หลังจากทำข้อสอบแล้ว ควรวิเคราะห์ข้อผิดพลาดอย่างละเอียด เพื่อเข้าใจจุดอ่อนของตนเองและหาวิธีปรับปรุง การทำข้อสอบเสมือนจริงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและลดความตื่นเต้นในวันสอบจริง

4. เข้าร่วมกลุ่มติวหรือหาคู่ติว

การเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเตรียมตัวสอบ GED ได้ การเข้าร่วมกลุ่มติวหรือหาคู่ติวช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ เทคนิคการทำข้อสอบ และการช่วยเหลือกันในเนื้อหาที่ยาก นอกจากนี้ การอธิบายเนื้อหาให้ผู้อื่นฟังยังเป็นวิธีที่ดีในการทบทวนและเสริมสร้างความเข้าใจของตนเอง การเรียนรู้ร่วมกันยังช่วยสร้างแรงจูงใจและความรับผิดชอบในการเรียน ทำให้การเตรียมตัวสอบมีความสนุกและน่าสนใจมากขึ้น

5. ดูแลสุขภาพกายและใจให้พร้อม

การเตรียมตัวสอบ GED ไม่ใช่เพียงแค่การเรียนหนักเท่านั้น แต่ยังต้องดูแลสุขภาพกายและใจควบคู่กันไปด้วย ควรจัดตารางเวลาให้มีการพักผ่อนที่เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การนอนหลับที่เพียงพอช่วยให้สมองปลอดโปร่งและจดจำข้อมูลได้ดีขึ้น ในขณะที่การออกกำลังกายช่วยลดความเครียดและเพิ่มความสามารถในการจดจำ นอกจากนี้ ควรฝึกเทคนิคการผ่อนคลายความเครียด เช่น การหายใจลึก ๆ หรือการทำสมาธิ เพื่อรับมือกับความกดดันในช่วงเตรียมตัวสอบและในวันสอบจริง การดูแลสุขภาพกายและใจที่ดีจะช่วยให้การเตรียมตัวสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการทำคะแนนได้ตามเป้าหมาย

สรุปบทความ

และทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับมหาลัยที่รับ GED รวมถึงการสมัครเรียนต่อด้วยคะแนน GED ที่ Stamford International University รวบรวมมาแบ่งปัน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้น่าจะช่วยให้น้อง ๆ สามารถวางแผนและเตรียมตัวในการสอบ GED เพื่อเข้าคณะและมหาวิทยาลัยในฝันได้เป็นอย่างดี และสำหรับน้อง ๆ ที่สนใจสมัครเรียนปริญญาตรีโดยการยื่นคะแนน GED ที่ Stamford International University ก็สามารถเช็กรายละเอียดและเงื่อนไขผ่านหน้าเว็บไซต์ หากผู้ปกครองและนักศึกษามีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ผ่านช่องทางเหล่านี้

Leave a Reply

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น

You may use these HTML tags and attributes:

<a href="" title=""> <abbr title=""> <acronym title=""> <b> <blockquote cite=""> <cite> <code> <del datetime=""> <em> <i> <q cite=""> <s> <strike> <strong>